ย้อนกลับสมัยที่กรุงเทพพระมหานคร ยังคงปกคลุมไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม
ครั้งที่พระองค์ท่านรัชกาลที่ 5 ย้ายวังมาประทับที่พระราชวังดุสิต
ในรัชสมัยของพระองค์ท่านพระราชวังสวนดุสิต
ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์
ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม่ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณวัง
ผลหมากรากมในพระราชวังแห่งนี้ออกดอกออกผลลูกเล็กลูกใหญ่
ห้อยระย้าเต็มต้น มีทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ
เมื่อผลไม้มีมากมายเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของชาววังมือดีทั้งหลาย
ทั้งๆที่เป็นของที่อยู่ในเขตพระราชฐาน
ผลไม้หลายๆต้นยังถูกสอยเอาไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นประจำจนผิดสังเกต
แถมผลไม้หลายๆลูกยังพบร่องรอยของฟันแทะไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย !!!
ครั้งนั้น เรื่องขโมยผลไม้ในวังกลายเป็นเรื่องใหญ่
ถึงขนาดพระองค์ท่าน ต้องเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
และตรัสว่าไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า
เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้
จึงมีการตั้งรางวัล ในการจับขโมย เป็นเงินถึง 2 ตำลึงในสมัยนั้น
จึงกลายเป็นว่าตกกลางคืน
บรรดาข้าหลวงนางกำนัลและมหาดเล็กก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน
เพราะต้องคอยมาดักซุ่มจับขโมยหวังเงินรางวัล
และการมาซุ่มจับก็จะมาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ
หลายคืนผ่านไปก็ยังไม่มีใครท้อ เพราะต่างก็อยากจะรู้ว่าใครกันคือหัวขโมยใจกล้าผู้นั้น
แต่ในยามดึกๆเช่นนั้นทั่วทั้งวังก็เงียบเย็น และวังเวง
ทำให้พวกที่มาดักจับขโมยรู้สึกหวาดๆอยู่เหมือนกัน
เพราะที่วังแห่งนี้ร่ำลือกันมานานแล้วว่ามักจะมีผีเด็กไว้ผมจุกออกมาวิ่งเล่นตอนดึกอยู่บ่อยๆ
ใครดวงดีก็จะได้เห็น!!!
การดักจับขโมยยังคงดำเนินอยู่ทุกคืน
บางคืนก็เจอเรื่องให้ขำ เมื่อต่างฝ่ายต่างมีหลายกลุ่ม หลายตำหนัก
ลงมาซุ่มจับขโมยแล้วมีการสงสัยจับกันเองระหว่างพวกที่มาซุ่มจับ
จนเกิดอลเวงไปทั้งวัง เพราะที่แท้แล้วไม่ใช่กลายเป็นพวกเดียวกัน
และขนาดช่วยกันดักจับอยู่ทุกคืน ยังน่าประหลาดที่ผลไม้ก็ยังหายอยู่เช่นเดิม !?!?
แถมบางลูกห่อกระดาษไว้อย่างดีก็ยังถูกเด็ดไปจนได้
กระทั่งคืนหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นคืนเดือนมืด ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัด
แต่พวกชาววังก็ยังซุ่มล่าหัวขโมยอยู่เช่นเดิม
ชาววังกลุ่มหนึ่งมาแอบซุ่มอยู่ใกล้ต้นฝรั่งซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น ใกล้จะสุกเก็บกินได้แล้ว
และต้นนี้เองเป็นต้นเดียวกับที่ล้นเกล้าฯ เคยทอดพระเนตรพบรอยแทะทิ้งไว้
คืนนั้นพอดึกสงัดก็ปรากฏมีเสียงประหลาด
พร้อมมีเงาดำๆวิ่งผ่านไปทางต้นฝรั่ง
ทำให้ชาววังผู้ล่าหัวขโมยใจเต้นระทึก
คาดว่าจะต้องเป็นหัวขโมยที่หวังจะจับแน่แล้ว
จึงพากันแอบซุ่มมอง ทันใดก็เห็นเจ้าของร่างนั้นปีนขึ้นไปบนต้นฝรั่ง
นั่งกัดฝรั่งเคี้ยวกินอย่างกระหายหิว ...
พวกล่าจับหัวขโมยพากันดีใจกรูเข้าไปล้อมรอบโคนต้นฝรั่ง
หวังจะดูหน้าหัวขโมยให้ชัดๆซะที
ต่างจึงพากันร้องเรียกขู่ให้หัวขมายลงมาจากต้นฝรั่ง
เจ้านั่นก็ยังไม่ยอมลงมา
ร้องเรียกอยู่นานจนในที่สุดเงาดำบนต้นก็กระโดดตูมลงมา
ข้าหลวงชายพากันตะครุบจับแต่ก็จับไม่ได้เพราะตัวลื่นเป็นเมือกแถมยังว่องไว ปราดเปรียว ผิดปกติมนุษย์ธรรมดา
ฉับพลันทันใดก่อนที่ใครจะคาดคิดเจ้าหัวขโมยรายนี้ก็กระโจนพรวดเดียว
ลงไปในสระภายในพระราชวัง
แล้วจมหายไม่ขึ้นมาอีกเลย
งานนี้ทุกคนเลยชวดเงินรางวัล
เพราะไม่มีใครสามารถจับขโมยที่ไวดุจปรอทคนนี้ได้เลย
นอกจากจะจับไม่ได้แล้ว
แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีใครได้เห็น
มีสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้คือ กลิ่นตัวที่สาปรุนแรง คล้ายกลิ่นคนตาย
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวขโมยโดดหายลงไปในน้ำแล้ว
ทุกคนจึงได้สติว่า ถูก "ผีหลอก" แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่น
เป็นอันว่านอกจาก "ผีเด็กหัวจุก" จะเฮี้ยนแล้ว
ภายในพระราชวังแห่งนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับผีพราย ให้โจษจันด้วยอีกเรื่องหนึ่งด้วยของเหล่าชาววัง