วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผลฝรั่งที่สาปสูญแห่งวังดุสิต


ย้อนกลับสมัยที่กรุงเทพพระมหานคร ยังคงปกคลุมไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม
ครั้งที่พระองค์ท่านรัชกาลที่ 5 ย้ายวังมาประทับที่พระราชวังดุสิต
ในรัชสมัยของพระองค์ท่านพระราชวังสวนดุสิต
ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์
ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม่ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณวัง

ผลหมากรากมในพระราชวังแห่งนี้ออกดอกออกผลลูกเล็กลูกใหญ่
ห้อยระย้าเต็มต้น มีทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ
เมื่อผลไม้มีมากมายเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของชาววังมือดีทั้งหลาย
ทั้งๆที่เป็นของที่อยู่ในเขตพระราชฐาน
ผลไม้หลายๆต้นยังถูกสอยเอาไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นประจำจนผิดสังเกต
แถมผลไม้หลายๆลูกยังพบร่องรอยของฟันแทะไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย !!!

ครั้งนั้น เรื่องขโมยผลไม้ในวังกลายเป็นเรื่องใหญ่
ถึงขนาดพระองค์ท่าน ต้องเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
และตรัสว่าไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า
เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้
จึงมีการตั้งรางวัล ในการจับขโมย เป็นเงินถึง 2 ตำลึงในสมัยนั้น

จึงกลายเป็นว่าตกกลางคืน
บรรดาข้าหลวงนางกำนัลและมหาดเล็กก็ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน
เพราะต้องคอยมาดักซุ่มจับขโมยหวังเงินรางวัล
และการมาซุ่มจับก็จะมาอยู่กันเป็นกลุ่มๆ
หลายคืนผ่านไปก็ยังไม่มีใครท้อ เพราะต่างก็อยากจะรู้ว่าใครกันคือหัวขโมยใจกล้าผู้นั้น
แต่ในยามดึกๆเช่นนั้นทั่วทั้งวังก็เงียบเย็น และวังเวง
ทำให้พวกที่มาดักจับขโมยรู้สึกหวาดๆอยู่เหมือนกัน
เพราะที่วังแห่งนี้ร่ำลือกันมานานแล้วว่ามักจะมีผีเด็กไว้ผมจุกออกมาวิ่งเล่นตอนดึกอยู่บ่อยๆ
ใครดวงดีก็จะได้เห็น!!!

การดักจับขโมยยังคงดำเนินอยู่ทุกคืน
บางคืนก็เจอเรื่องให้ขำ เมื่อต่างฝ่ายต่างมีหลายกลุ่ม หลายตำหนัก
ลงมาซุ่มจับขโมยแล้วมีการสงสัยจับกันเองระหว่างพวกที่มาซุ่มจับ
จนเกิดอลเวงไปทั้งวัง เพราะที่แท้แล้วไม่ใช่กลายเป็นพวกเดียวกัน
และขนาดช่วยกันดักจับอยู่ทุกคืน ยังน่าประหลาดที่ผลไม้ก็ยังหายอยู่เช่นเดิม !?!?
แถมบางลูกห่อกระดาษไว้อย่างดีก็ยังถูกเด็ดไปจนได้

กระทั่งคืนหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นคืนเดือนมืด ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัด
แต่พวกชาววังก็ยังซุ่มล่าหัวขโมยอยู่เช่นเดิม
ชาววังกลุ่มหนึ่งมาแอบซุ่มอยู่ใกล้ต้นฝรั่งซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น ใกล้จะสุกเก็บกินได้แล้ว
และต้นนี้เองเป็นต้นเดียวกับที่ล้นเกล้าฯ เคยทอดพระเนตรพบรอยแทะทิ้งไว้

คืนนั้นพอดึกสงัดก็ปรากฏมีเสียงประหลาด
พร้อมมีเงาดำๆวิ่งผ่านไปทางต้นฝรั่ง
ทำให้ชาววังผู้ล่าหัวขโมยใจเต้นระทึก
คาดว่าจะต้องเป็นหัวขโมยที่หวังจะจับแน่แล้ว
จึงพากันแอบซุ่มมอง ทันใดก็เห็นเจ้าของร่างนั้นปีนขึ้นไปบนต้นฝรั่ง
นั่งกัดฝรั่งเคี้ยวกินอย่างกระหายหิว ...
พวกล่าจับหัวขโมยพากันดีใจกรูเข้าไปล้อมรอบโคนต้นฝรั่ง
หวังจะดูหน้าหัวขโมยให้ชัดๆซะที
ต่างจึงพากันร้องเรียกขู่ให้หัวขมายลงมาจากต้นฝรั่ง
เจ้านั่นก็ยังไม่ยอมลงมา
ร้องเรียกอยู่นานจนในที่สุดเงาดำบนต้นก็กระโดดตูมลงมา
ข้าหลวงชายพากันตะครุบจับแต่ก็จับไม่ได้เพราะตัวลื่นเป็นเมือกแถมยังว่องไว ปราดเปรียว ผิดปกติมนุษย์ธรรมดา
ฉับพลันทันใดก่อนที่ใครจะคาดคิดเจ้าหัวขโมยรายนี้ก็กระโจนพรวดเดียว
ลงไปในสระภายในพระราชวัง
แล้วจมหายไม่ขึ้นมาอีกเลย

งานนี้ทุกคนเลยชวดเงินรางวัล
เพราะไม่มีใครสามารถจับขโมยที่ไวดุจปรอทคนนี้ได้เลย
นอกจากจะจับไม่ได้แล้ว
แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีใครได้เห็น
มีสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้คือ กลิ่นตัวที่สาปรุนแรง คล้ายกลิ่นคนตาย
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวขโมยโดดหายลงไปในน้ำแล้ว
ทุกคนจึงได้สติว่า ถูก "ผีหลอก" แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่น
เป็นอันว่านอกจาก "ผีเด็กหัวจุก" จะเฮี้ยนแล้ว
ภายในพระราชวังแห่งนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับผีพราย ให้โจษจันด้วยอีกเรื่องหนึ่งด้วยของเหล่าชาววัง

จดหมายลาตาย

สถานที่เกิดเหตุคือที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ในสมัยรัชกาลที่ 6 ค่ะ

ต้องเกริ่นก่อนว่า ตามราชประเพณีแต่เดิมนั้น บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ใหญ่
เมื่อจะวายชนม์นั้น ก็ต้องมีหนังสือกราบถวายบังคมลาตาย มาที่กระทรวงวัง (ในสมัยนั้น)

แต่ผู้ที่ยื่นหนังสือดังกล่าวก็ต้องเป็นญาติของผู้ตายนั่นแหละค่ะ
เพราะถ้าผู้ตายมากราบบังคมทูลเองก็คงกระเจิงอ่ะนะค๊ะ !!!!!!!

ในเวลานั้น พระองค์ท่านประทับอยู่ที่พระที่นั่งอุดรภาค
ซึ่งเป็นพระที่นั่งที่มีเฉลียงทางเดินต่อกับพระที่นั่งอัมพรสถาน
ซึ่งตามปกติที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ นั้น
บรรดาราชองครักษ์และมหาดเล็กก็จะรอรับเสด็จที่พระที่นั่งอัมพรสถาน
และรถพระที่นั่งก็จะจอดรออยู่ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน

วันที่เกิดเรื่องนั้น พระองค์ท่านกำลังจะเสด็จพระราชดำเนินไปสรงนํ้าพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมพระเนศวรฤทธิ์
เมื่อเสด็จฯ ออกจากพระที่นั่งอุดรภาค มายังพระที่นั่งอัมพรสถาน
ระหว่างทางทรงพบกับนายพันโท จมึ่นฤทธิ์รณจักร (กรับ โฆษะโยธิน) ยืนถวายความเคารพอยู่
ก็ทรงยกพระหัตถ์รับ
แต่ก็ทรงนึกในพระทัยว่าทำไมจมึ่นฯ จึงมายืนตรงนี้
ทำไมไม่ไปยืนรับเสด็จที่หน้าพระที่นั่งอัมพรสถาน

อีก อย่างหนึ่งที่ทรงแปลกพระทัยก็คือ การแต่งกายของท่าน ที่วันนั้นมีหมายให้แต่งเต็มยศขาว แต่วันนั้นท่านกลับแต่งเต็มยศใหญ่ ครั้นจะทรงทักก็ทรงเกรงใจ จึงเสด็จผ่านไป

พอเสร็จสิ้นพระราชกรณียกิจแล้ว ก็เสด็จกลับมาที่พระที่นั่งอุดรภาค
พอมาถึงก็ทอดพระเนตรเห็นธูปเทียนและหนังสือลาตาย
ก็ทรงเปิดทอดพระเนตร ในนั้นปรากฏข้อความว่า

" ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า นายพันโท จมึ่นฤทธิ์รณจักร (กรับ โฆษะโยธิน) ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาถึงแก่กรรม ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ "

ทันใดนั้น ก็ทรงนึกขึ้นได้ว่า ที่ท่านได้แต่งเต็มยศใหญ่มาเฝ้า ก็คงจะมากราบบังคมทูลลาตายด้วยตัวเองกระมัง!!!!!!!!!!!

สระน้ำในพระบรมมหาราชวัง


มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวชวนขนลุกที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นและยังเล่าสืบต่อกันมาไม่รู้จบว่า
พวกในวังมักมีที่เล่นสำราญสนุกสนาน

ที่บริเวณสระน้ำกว้างขวางแห่งหนึ่งภายในวังหลวง
สระน้ำนี้จะมีท่อธารน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งสองด้านหัวและท้ายสระ จะมีบันไดอิฐถือปูนเป็นทางสำหรับลงไปตักน้ำได้
ว่ากันว่า

เมื่อแรกสร้างนั้นน้ำเต็มเปี่ยมใสสะอาดดี
เพราะมีกฎข้อห้ามจากเจ้านายไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปอาบหรือทำความสกปรกในบริเวณใกล้ขอบสระนั้น

และที่บริเวณสระน้ำนี้ยังมีต้นปีบขนาดใหญ่ สูงระหง
กับต้นจันทน์ทอดกิ่งก้านสาขาใบดกเขียวร่มรื่น
ปีบออกดอกขาวร่วงหล่นอยู่ที่โคนต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ
ชาววังหลวงสมัยนั้นก็มักจะมาเที่ยวเก็บดอกบีบและลูกจันทน์เล่น

แต่ต่อมาได้เกิดเสียงเล่าลือไปในทางไม่เป็นมงคล
ทำให้ชาววังเกิดอาการกลัวผีกันนักหนา
กลางค่ำกลางคืนก็ไม่กล้าออกไปไหน

แม้แต่จะไปอุโมงค์ที่ถ่ายทุกข์ยังไม่ยอมไป
เพราะทางที่จะไปต้องเดินผ่านบริเวณสระน้ำนั้น
ก็ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ทั้งนี้เพราะว่า ....

"พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา"
ซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งในดระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งประชวรด้วยพระโรคเรื้อรังกระเสาะกระแสะอยู่นาน ได้สิ้นพระชนม์ลง

แม้จะทรงรักษาพระอาการประชวรด้วยวิธีแพทย์หลวง
หรือจะทรงหมั่นบำเพ็ญพระกุศลหวังจะให้หายจากพระโรค

ก็ไม่หาย (เล่ากันภายในว่าทรงเป็นพระโรคเกี่ยวกับระบบพระประสาท
และทรงกระทำวัตธิพิฆาตกรรมพระองค์เองจนสิ้นพระชนม์) !!

เมื่อพระองค์เจ้าพระองค์นี้ สิ้นพระชนม์ลง ต่อมาก็มีการโจษจันกันว่า
มีผู้ได้ยินเสียงร้องโหยหวยในยามวิกาล
มีการกล่าวขวัญกันต่อๆมา และสรุปว่าเป็นเพราะเสด็จพระองค์นั้นเพิ่งจะสิ้นพระชนม์
คงจะทรงไปทนทุกขเวทนาอยู่
เลยทำให้หวาดกลัวกันไปทั้งวังหลวง

จนเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5
จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้อาถรรพ์นี้

ด้วยวิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน
และทรงสั่งให้ขุดสระน้ำขึ้น
เพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปโปรดพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้น ให้พ้นทุกข์

เมื่อวันที่สระน้ำสร้างสำเร็จก็มีพิธีฉลองสระ
บรรดาเจ้านายพระบรมวงศ์ฝ่ายในทั้งหลาย ก็พากันเสด็จมาร่วมบำเพ็ญพระกุศล
ตั้งแต่นั้นมาเรื่องเล่าของชาววังเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเงียบหายไป

ส่วนสระน้ำที่ขุดใหม่นี้ชาววังในสมัยนั้นจะเรียกว่า "สระพระองค์อรไทย"

แท่นปูนจารึกคำอุทิศ บริเวณทางเข้า " สระพระองค์อรไทย "

" ศุภมัสดุรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ สุริยคติกาลที่ ๙ เดือนมีนาคม จันทรคตินิยม วันศุกร์ เดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีมเสงสัปตศก จุลศักราช ๑๒๖๗ พระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ทรงพระดำริห์ว่า จะใคร่บำเพ็ญอุทกทานให้เป็นสาธารณประโยชน์ทั่วไปในบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระบรม มหาราชวังอันตั้งอยู่ ณ ที่ห่างไกลจากฝั่งน้ำ จึงนำพระประสงค์ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตแลพระ ราชานุเคราะห์ให้ได้ขุดสระดังความประสงค์ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กองโยธาในกระทรวงวัง จัดการสร้างสระนี้ กว้าง ๕ วา ยาว ๗ วา ๒ ศอก ลึก ๒ วา ได้ลงเขื่อนถือปูนสิเมนมีบันไดลาดศิลาขึ้นลง ปลูกสร้างหลังคาครอบแลรั้วกั้นแล้วสำเร็จเงิน ๘,๖๖๑ บาท ๘ อัฐ จึ่งได้อาราธนาพระสงฆ์เจริญพระปริตพุทธมนต์รับอาหารบิณฑบาตรเป็นเบื้องต้น แห่งทาน แล้วได้มีการแจกสลากต่าง ๆ มีช้างแลกระบือเป็นอาทินับจำนวนถ้วน ๕,๐๐๐ สลาก ทรงบริจาคทั่วไปในบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยหวังพระทัยให้เป็นประโยชน์แลยินดีทั่วหน้า ดังอำนาจพระเมตตาแลสาธารณทานอันได้ทรงบำเพ็ญครั้งนี้ จงเป็นอุปการวิธีกางกั้นสรรพพิบัติอันตราย ให้พระโรคเสื่อมคลายทรงพระเจริญศุขศิริสวัสดิ์สิ้นกาลนาน ทรงอุทิศพระกุศลส่วนสาธารณทานนี้แด่ท่านทั้งหลายผู้ได้อนุโมทนาจงสำเร็จความ ปรารถนาในทางธรรม ทั้งประจุบันแลภายน่านั้นเทอญ "

โคมมะหวดตุ้งติ้ง


ถ้าจำไม่ผิดนะคะ ก็น่าจะเป็นครั้งงานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

เป็นเรื่องจากบันทึกของตำรวจวังท่านหนึ่ง
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ...
มีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่ต้องอยู่เฝ้าพระบรมศพตลอดทั้งคืน
เผลอหลับขณะปฏิบัติหน้าที่ในเวลากลางคืน
ซึ่งได้พระทวาร และพระบัญชรก็ได้ปิดหมดแล้ว
ไม่มีลมที่จะสามารถพัดให้โคมมะหวดตุ้งติ้ง สั่นไหวได้

อยู่ๆ !!!ก็ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงกลางคืนนั้น
ก็ได้ยินเสียงกระทบกันของโคมมะหวดตุ้งติ้ง เหมือนมีใครไปแกว่ง
จึงทำให้ทหารที่หลับเวรตื่น
เสียงดังกล่าว เป็นปริศนาว่าใคร ไม่สั่นโคมมะหวดตุ้งติ้งเหล่านั้น

เมื่อครั้งงานพระราชพิธีพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 8 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
เรื่องมีอยู่ว่าในเวลาดึก
พอพระบรมวงศานุวงศ์และแขกระดับผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้ว

ก็จะมีทหารยามและตำรวจวังเฝ้าพระบรมศพอยู่
โดยทหารจะยืนยาม 4 มุมของพระบรมศพ และจะมีการเปลี่ยนเวรกันเป็นกะ

ในส่วนของการยืนยามด้านในซึ่งเป็นที่ไว้พระบรมโกศทำด้วยทองคำแท้ๆนั้น
จะมีทหารมารักษาการเฉพาะตอนกลางคืน
ส่วนตอนกลางวันจะมีเจ้าหน้าที่ทำงานคอยเฝ้าอยู่

สำหรับทหารที่มาเข้าเวรก็เป็นที่รู้กันว่า
เมื่อเดินมาถึงจุดนี้จะต้องถวายวามเคารพพระบรมศพเสียก่อน ด้วยการวันทยาหัตถ์

แต่ก็มีบางคนที่มาเข้าเวรใหม่
ยังไม่รู้ธรรมเนียมในวัง จึงไม่ได้ถวายความเคารพ
มาถึงก็ยืนเข้าที่เลย ปรากฏว่าโดนดีกันเป็นแถว
เพราะถูกฝ่ามือลึกลับของใครก็ไม่ทราบ
มาตบที่ท้ายทอยจนหัวคะมำ
พอหันมาดูรอบๆ ตัวก็ไม่มีใคร
ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ
บางครั้งทหารยืนยามมาทั้งคืนพอใกล้สว่างก็ชักไม่ไหว

ต้องทรุดลงนั่งและหลับยามไปงีบหนึ่ง
แต่พอหัวหน้ามาตรวจเวร ก็จะมีเสียงคนมาปลุกและเขย่าตัว

บอกให้ตื่น โดยที่ไม่มีใครเคยเห็นตัวคนปลุกซักครั้งเดียว

ผาเสด็จ ดงพญาไฟ


เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว
รัฐบาลสยาม ได้จ้างสถาปนิกฝรั่งให้มาสำรวจเส้นทาง
การสร้างทางรถไฟสายหัวลำโพง-นครราชสีมา
คณะสำรวจก็ได้บุกป่าฝ่าดงเลาะไต่เขาปีนเขากันไปตลอดทาง

คราวนี้คณะสำรวจก็มาถึงบริเวณผาเสด็จ
ก็พบต้นตะเคียนต้นหนึ่งมีขนาด 3 คนโอบ
จะเลี้ยวไปทางซ้ายก็ตกเหว
จะเลี้ยวทางขวาหรือก็เจอผาเขา
ยากที่จะปีนจะต้องตัดต้นตะเคียนต้นนี้ออก
พอตัดต้นตะเคียนก็มีคนล้มตายลงเรื่อยๆ
จนไม่มีใครกล้าตัดโดนไข้ป่าตายกันบ้าง

ฝรั่งเป็นชาติที่ไม่เชื่อเรื่องผีสางอยู่แล้วก็จะตัดให้ได้
ทั้งคนงานในคณะสำรวจซึ่งเป็นคนไทยส่วนมาก
และก็จ้างคนมามากมายแต่ไม่มีใครกล้าตัด
ความทราบถึงรัชกาลที่ 5 ที่ทำทางรถไฟไม่สำเร็จเพราะมีอุปสรรคอย่างนั้น

พระองค์ท่านทรงตัดสินพระทัยจะเสด็จไปดูด้วยพระองค์เอง
ก็เสด็จมาทางรถไฟซึ่งยังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยดี แต่ก็แล่นได้
มาประทับกลางดง ซึ่งทางข้างหน้านั้นมีผาสูง

รัชกาลที่ 5 ก็ทรงบวงสรวงตะเคียนต้นนั้น
เพื่อขอขมาลาโทษแก่เจ้าที่เจ้าทางเพื่อที่จะทำทางรถไฟต่อไป
พอตกกลางคืนก็ได้ยินเทวดา ผีป่า นางไม้ มาพูดกันว่า

“ เจ้าบ้านครองเมืองเขามาขอก็ให้เขาเสียเถอะ พระบารมีพระเจ้าอยู่มีบุญญาธิการมากนัก ข้าจำเป็นต้องให้เขาแล้วไปหาที่อยู่ใหม่ ”

ตั้งแต่นั้นมาการโค่นต้นไม้และการสร้างทางรถไฟก็เสร็จลงด้วยดี
พระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อเป็นสิริมงคลจากดงพญาไฟ มาเป็นดงพญาเย็น
และได้ทรงจารึก จ.ป.ร. ไว้ที่หินก้อนใหญ่ที่ผาเสด็จ ณ สถานีให้ปรากฎจนทุกวันนี้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะ ดงพญาเย็นขึ้นชื่อเรื่องผีป่าอาถรรพ์อยู่แล้ว
พระองค์ท่านเสด็จไปขอทางและสักการะด้วยองค์เองเลยทีเดียว

นั่นใคร ...ออกมานะ !


เรื่องเล่าแสนประหลาดจากพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ภายในพระบรมมหาราชวัง เกิดขึ้นนมนาน...

พระที่นั่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระมหามณเฑียร
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ
พระองค์ท่านและพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จย้ายจากที่ประทับเดิม มาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้
และได้ทรงโปรดให้เขียนพระบรมสาทิสลักษณ์ของรัชกาลต่างๆ ไว้ในมุขกระสัน
(มุขที่เชื่อมระหว่างพระที่นั่งองค์หนึ่ง กับอีกองค์หนึ่ง)

เวลานั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ยังทรงพระเยาว์และทรงซุกซนมาก
ขณะที่ประทับเล่นอยู่บริเวณห้องไพรเวทและมุขกระสัน
พระองค์ทรงวิ่งเล่นไปมาภายในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน โดยที่พระพี่เลี้ยงก็ตามไม่ทัน
หาพระองค์ท่านไม่เจอ
โดยประมาณครู่ใหญ่พระองค์ถึงทรงกลับมาเอง พร้อมกับเล่าให้พระพี่เลี้ยงฟังว่า
ทรงเห็นผู้ชายรูปร่างท้วมนั่งอยู่ในพระที่นั่งฯ
แล้วเดินหายไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลก่อนๆ
ด้วยความที่เป็นเจ้าฟ้า ท่านจึงตะโกนเรียกว่า ...
"นั่นใคร...ออกมาเดี๋ยวนี้" ปรากฏว่าก็ไม่มีใครออกมา !

จนมาวันหนึ่ง สมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ กำลังเสด็จไปเฝ้ารัชกาลที่ 5
ทรงดำเนินผ่านห้องที่มีพระบรมสาทิสลักษณ์รัชกาลที่ 3 แขวนอยู่
พอทอดพระเนตรก็รับสั่งว่า "นี่ไงผู้ชายอวบคนนั้น..."
จนความทราบไปถึงสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯ
พระนางจึงมีรับสั่งถามเรื่องราว และทรงเดาว่าคงเป็น รัชกาลที่ 3 ปรากฏพระองค์ให้เห็น
จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธูปเทียน ไปถวายสมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ
เพื่อทรงไปขอขมาลาโทษรัชกาลที่ 3 ที่อาจทรงล่วงเกินไป
เข้าไปทรงวิ่งเล่นเอะอะ ในที่ที่พระองค์เคยประทับ

การปรากฏพระองค์ของรัชกาลที่ 3 ให้สมเด็จฯเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถฯ ได้ทอดพระเนตร ณ พระที่นั่งองค์นี้
ยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่าน ยังคงสถิตย์อยู่ที่นี่
แต่ที่รู้ก็คือ พระองค์ท่านทรงเคยประทับที่พระที่นั่งองค์นี้มาตลอดพระชนม์ชีพ
และทรงเสด็จสวรรคตที่พระที่นั่งองค์นี้ด้วย นั่นเอง ...

สนม นางใน หม่อมห้าม คนเดิมยังอยู่


"เรื่องลี้ลับชาววัง" ที่เคยเป็นเรื่องเล่าในสมัยก่อนก็ยังไม่จางหายไป ยังคงเล่าสืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น
แม้ในปัจจุบันข้าราชบริพาร ที่ทำงานในพระบรมมหาราชวัง
ก็ยังตั้งวงเล่าเรื่องชวนขนหัวลุกกันอยู่
หลังพระอาทิตย์ตกดินจะไม่มีใครอยู่ทำงาน
ขนาดมีงานพระราชพิธีเปิดไฟสว่าง
คนเยอะก็ยังไม่กล้าเดินคนเดียว
พวกรุ่นพี่จะบอกรุ่นน้องที่มาทำงานใหม่เสมอๆ ว่า

"เลิกงานแล้วกลับบ้านเลยนะ ใครอยู่ดึกรับรองเจอดีแน่!"

จากที่เคยเดินเที่ยวชมพระบรมมหาราชวังไปกันเป็นหมู่คณะ
ไม่ต้องรออาทิตย์ตกดินก็เสียงสันหลังได้ ?!?!

เรื่องมีอยู่ว่า สำนักพระราชวังมีที่พักไม่พอให้ข้าราชการที่บ้านอยู่ไกลได้พัก
จึงต้องจัดให้พักตามหมู่พระตำหนักและเรือนเก่า
ของเหล่าบรรดาพระสนม เจ้าจอมมารดา หรือเจ้าจอมในเขตพระราชฐานชั้นใน

ข้าราชการคนหนึ่งได้พักในพระตำหนักพระองค์เจ้าประเวศวรสมัย
(พระราชธิดาในล้นเกล้า ร.5 กับเจ้าจอมมารดาทับทิมฯ)
เป็นพระตำหนักแบบตะวันตกรูปตัวยู ก่ออิฐปูนถึง 2 ชั้น

คืนแรกไปนอน อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่ด้วย
เหมือนมีคนเดินผ่าน
บางทีก็นอนตกเตียงเพราะมีมือดีมาดึง ก็เลยอยู่ไม่ไหว
ด้วยเกรงในพระเดชานุภาพในพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เคยสิ้นพระชนม์ในพระตำหนักนี้
จึงขอขมาลาโทษ และลงมานอนข้างล่างหรือห้องนั่งเล่น
ถึงพอจะนอนหลับได้ โดยไม่มีอะไรรบกวนรุนแรงอีก

อีกเหตุการณ์หนึ่ง
ข้าราชสำนักเจอดีที่หน้าเรือนของ เจ้าจอมก๊ก อ.
ซึ่งเจ้าจอมก๊ก อ. นี้เป็นเหล่าธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เจ้าเมืองเพชรบุรี กับท่านผู้หญิงอู่ บุนนาค
โดย เป็นพี่น้องกัน 5 คน ได้แก่ เจ้าจอมมารดาอ่อน, เจ้าจอมมารดาเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ, เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน แห่งราชินิกุล "บุนนาค"

เรือนของเจ้าจอมมารดาทั้ง 5 อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน
ตัวเรือนใช้โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหลัง
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสี่ชั้น ประตูทางเข้าอยู่ทิศเหนือ ทำเป็นรูปครึ่งวงกลม
มีหน้าต่างเจาะเป็นรูปโค้งอยู่ตรงกันทุกชั้น
ด้านหน้าชั้นที่สองและชั้นที่สามทำเป็นเฉลียง
ส่วนชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า
ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพาร
ส่วนชั้นที่สองเป็นที่อยู่ของเจ้าจอมมารดาทั้งหลาย และไว้ใช้รับแขก

เรือนหลังนี้มีเรื่องเล่าว่าวันหนึ่ง ขณะที่ว่างจากงานในหน้าที่
ข้าราชการฝ่ายในกลุ่มหนึ่งเห็นว่าสถานที่หน้าเรือนเจ้าจอมก๊ก อ. เงียบสงบ
เลยชวนกันมานั่งเล่นพักผ่อนกันในบริเวณสนามหญ้า
ขณะกำลังคุยกันออกรส เสียงหัวเราะอาจจะดังไปหน่อย
จู่ๆ มีน้ำมาจากไหนไม่รู้ เหมือนใครเทราดสาดลงมาจากข้างบน
เสียงคุยเฮฮาเมื่อครู่เงียบกริบ... ?!?!?

เนื้อตัวเปียกปอนกันหมด
แหงนดูข้างบนก็ไม่มีใคร
เพราะเรือนนี้ถูกปล่อยร้างไม่มีใครอยู่มานานแล้ว
เป็นเรื่องที่น่าประหลาด
จับมือใครดมก็ไม่ได้ และเชื่อกันว่าเจ้าของผลงานนี้ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว !!!!

สนม นางใน หม่อมห้าม คนเดิมยังอยู่


"เรื่องลี้ลับชาววัง" ที่เคยเป็นเรื่องเล่าในสมัยก่อนก็ยังไม่จางหายไป ยังคงเล่าสืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น
แม้ในปัจจุบันข้าราชบริพาร ที่ทำงานในพระบรมมหาราชวัง
ก็ยังตั้งวงเล่าเรื่องชวนขนหัวลุกกันอยู่
หลังพระอาทิตย์ตกดินจะไม่มีใครอยู่ทำงาน
ขนาดมีงานพระราชพิธีเปิดไฟสว่าง
คนเยอะก็ยังไม่กล้าเดินคนเดียว
พวกรุ่นพี่จะบอกรุ่นน้องที่มาทำงานใหม่เสมอๆ ว่า

"เลิกงานแล้วกลับบ้านเลยนะ ใครอยู่ดึกรับรองเจอดีแน่!"

จากที่เคยเดินเที่ยวชมพระบรมมหาราชวังไปกันเป็นหมู่คณะ
ไม่ต้องรออาทิตย์ตกดินก็เสียงสันหลังได้ ?!?!

เรื่องมีอยู่ว่า สำนักพระราชวังมีที่พักไม่พอให้ข้าราชการที่บ้านอยู่ไกลได้พัก
จึงต้องจัดให้พักตามหมู่พระตำหนักและเรือนเก่า
ของเหล่าบรรดาพระสนม เจ้าจอมมารดา หรือเจ้าจอมในเขตพระราชฐานชั้นใน

ข้าราชการคนหนึ่งได้พักในพระตำหนักพระองค์เจ้าประเวศวรสมัย
(พระราชธิดาในล้นเกล้า ร.5 กับเจ้าจอมมารดาทับทิมฯ)
เป็นพระตำหนักแบบตะวันตกรูปตัวยู ก่ออิฐปูนถึง 2 ชั้น

คืนแรกไปนอน อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาอยู่ด้วย
เหมือนมีคนเดินผ่าน
บางทีก็นอนตกเตียงเพราะมีมือดีมาดึง ก็เลยอยู่ไม่ไหว
ด้วยเกรงในพระเดชานุภาพในพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เคยสิ้นพระชนม์ในพระตำหนักนี้
จึงขอขมาลาโทษ และลงมานอนข้างล่างหรือห้องนั่งเล่น
ถึงพอจะนอนหลับได้ โดยไม่มีอะไรรบกวนรุนแรงอีก

อีกเหตุการณ์หนึ่ง
ข้าราชสำนักเจอดีที่หน้าเรือนของ เจ้าจอมก๊ก อ.
ซึ่งเจ้าจอมก๊ก อ. นี้เป็นเหล่าธิดาของเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) เจ้าเมืองเพชรบุรี กับท่านผู้หญิงอู่ บุนนาค
โดย เป็นพี่น้องกัน 5 คน ได้แก่ เจ้าจอมมารดาอ่อน, เจ้าจอมมารดาเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ, เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน แห่งราชินิกุล "บุนนาค"

เรือนของเจ้าจอมมารดาทั้ง 5 อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน
ตัวเรือนใช้โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหลัง
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสี่ชั้น ประตูทางเข้าอยู่ทิศเหนือ ทำเป็นรูปครึ่งวงกลม
มีหน้าต่างเจาะเป็นรูปโค้งอยู่ตรงกันทุกชั้น
ด้านหน้าชั้นที่สองและชั้นที่สามทำเป็นเฉลียง
ส่วนชั้นบนสุดเป็นดาดฟ้า
ชั้นล่างเป็นที่อยู่ของข้าราชบริพาร
ส่วนชั้นที่สองเป็นที่อยู่ของเจ้าจอมมารดาทั้งหลาย และไว้ใช้รับแขก

เรือนหลังนี้มีเรื่องเล่าว่าวันหนึ่ง ขณะที่ว่างจากงานในหน้าที่
ข้าราชการฝ่ายในกลุ่มหนึ่งเห็นว่าสถานที่หน้าเรือนเจ้าจอมก๊ก อ. เงียบสงบ
เลยชวนกันมานั่งเล่นพักผ่อนกันในบริเวณสนามหญ้า
ขณะกำลังคุยกันออกรส เสียงหัวเราะอาจจะดังไปหน่อย
จู่ๆ มีน้ำมาจากไหนไม่รู้ เหมือนใครเทราดสาดลงมาจากข้างบน
เสียงคุยเฮฮาเมื่อครู่เงียบกริบ... ?!?!?

เนื้อตัวเปียกปอนกันหมด
แหงนดูข้างบนก็ไม่มีใคร
เพราะเรือนนี้ถูกปล่อยร้างไม่มีใครอยู่มานานแล้ว
เป็นเรื่องที่น่าประหลาด
จับมือใครดมก็ไม่ได้ และเชื่อกันว่าเจ้าของผลงานนี้ไม่น่าจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว !!!!

จันทรเกษมโบราณ แห่งกรุงศรีอยุธยา



พระราชวังจันทรเกษม แห่งกรุงศรีอยุธยา

พระราชวังจันทร์เกษม แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระราชวังโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำป่าสัก
ในอดีตพระราชวังจันทร์เกษม คือ “วังหน้า” ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ซึ่งปรากฏหลักฐานตามพระราชพงศาวดาร
สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ประมาณ พ.ศ.2120
โดยมีพระราชประสงค์ เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ครั้งดำรงพระยศพระมหาอุปราช)

พระราชวัง จันทร์เกษมนี้ ฝีนอดีตยังเคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์และพระมหาอุปราชที่สำคัญอีก 7 พระองค์คือ สมเด็จพระเอกาทศรถ เจ้าฟ้าสุทัศน์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ขุนหลวงสรศักดิ์ (พระเจ้าเสือ) สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ
สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ และ กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์

ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2310
พระราชวังจันทร์เกษมลูกเผาทำลายวอดวายจึงได้ถูกทิ้งร้างไป
จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)
จึงได้มีการบูรณะปรับปรุง ซ่อมแซมพระราชวังขึ้นใหม่
เพื่อใช้สำหรับเป็นที่ประทับ ในเวลาที่พระองค์เสด็จประพาสพระนครศรีอยุธยา

สิ่งก่อสร้างภายในพระราชวังนี้มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปีแล้ว
และเพราะความเก่าแก่โบร่ำโบราณของพระราชวังเก่าแห่งนี้
จึงเป็นที่มาของเรื่องราวอาถรรพ์ เป็นที่สถิตย์ของดวงวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด

พระราชวังจันทรเกษมในสมัยหลังๆ
มักใช้เป็นที่พักของเหล่านักโบราณคดี ข้าราชการกรมศิลปากร
ที่ต้องเดินทางไปสำรวจขุดค้นโบราณสถาน ภูายในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

หรือแม้กระทั่งเวลา “รับน้อง” คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
หลายคนก็จะเจอะเจอเรื่องแปลกๆ เอามาเล่ากันอยู่เรื่อยๆ

มีเรื่องที่เล่าสู่กันฟังถึงรุ่นพี่นักโบราณคดีคนหนึ่ง
รุ่นพี่คนนี้ก็ได้ไปใช้ชีวิตทำงานอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และได้พักอยู่ที่พระราชวังจันทรเกษม เป็นการชั่วคราว ในหมู่พระที่นั่งพิมานรัตยา
คืนหนึ่งหลังจากแสร็จงานสำรวจที่วัดราชบูรณะ

รุ่นพี่และกลุ่มเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากร ก็พากันไปหาเหล้าดื่มกันที่ตลาดหัวรอ
ข้างพระราชวังจันทรเกษม จนเริ่มเมาจึงพากันกลับเข้าวัง
เดินกอดคออ้อๆ แอ้ๆ เก้ๆ กังๆ
ส่งเสียงดังชนิดไม่สำรวมกิริยามารยาทเข้ามาข้างใน
ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ไม่เคารพต่อสถานที่

และก่อนที่กลุ่มคนเมา จะเดินมาถึงพระที่นั่งวิมานรัตยานั้น
ก็มีบางคนเอ่ยชวนให้ไปยืนตากลมชมวิวกันบนหอพิสัยสัญลักษณ์
เผื่อว่าลมพัดเย็นๆ จะช่วยให้สร่างเมาได้บ้าง

เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน จึงพากันเดินโงนเงนไปที่หอสูงแห่งนี้
ซึ่งตามประวัตินั้น หอแห่งนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
แล้วมาถูกทำลายพังยับเยินเมื่อคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2
แต่ต่อมารัชกาลที่ 4 ท่านทรงโปรดฯให้สร้างใหม่ตามแบบศิลปะเดิมตามรากฐานเก่า
เพื่อใช้เป็นหอส่องกล้องทอดพระเนตรดวงดารา

กลุ่มคนเมาเดินมาหยุดนั่งพักก่อนที่จะถึงหอสูง
เมื่อทุกคนกวดสายตามองไปยังบริเวณด้านล่างของหอสูง
แต่ละคนก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ
เพราะที่บริเวณนั้นปรากฏร่างเป็นเงาตะคุ่มๆ ของใครก็ไม่ทราบหลายคนปรากฏอยู่
และกลุ่มคนพวกนี้ก็กำลังเดินใกล้เข้ามาหาพวกขี้เมาเสียด้วย
และยิ่งใกล้เข้ามาชิดตัวก็ยิ่งน่าตกใจ
เพราะแต่ละร่างที่เดินประดาหน้าเข้ามานั้น
มีเพียงส่วนท่อนบนเท่านั้น ร่างกายท่อนล่างไม่มี
ผู้ที่พบเหตุการณ์สยองขวัญบางคนถึงกับก้าวขาไม่ออก ยืนตัวสั่นอยู่กับที่
หายเมาเป็นปลิดทิ้ง
ทุกคนเจอผีเข้าแล้ว!!!

แต่มีอยู่คนหนึ่งใจกล้า ใช้ไฟฉายที่ถือมาส่องไปยังร่างเหล่านั้น
ซึ่งยิ่งส่องก็ยิ่งเห็นความน่าเกลียดน่ากลัว
เพราะเขาเห็นร่างกายส่วนที่ขาดตั้งแต่บั้นเอวลงไปนั้น
ขาดกระรุ่งกระริ่งไม่มีชิ้นดี
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ทุกคนจึงรีบหมุนตัวกลับวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต

ตกลงคืนนั้นไม่มีใครข่มตาหลับได้ลงสักคน
เพราะภาพที่เห็นมันสุดจะบรรยาย
แต่ก็ทำให้ทุกคนเชื่อว่า นี่คงจะเป็นการลงโทษของดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เจ้าที่เจ้าทางที่คุ้มครองรักษาพระราชวังสถานที่แห่งนี้
เพราะเขาคงไม่ชอบให้ใครมาเกะกะ ทำตัวไม่เคารพสถานที่
ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของอดีตวีรกษัตริย์และเจ้านายหลายๆพระองค์
การมาปรากฏเช่นนี้ ก็คงเป็นการลงโทษสถานเบาให้หลาบจำ

ด้วยเหตุนี้ หลังจากคืนนั้นแล้วกลุ่มนักโบราณคดีและเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร
ที่ได้เผชิญเหตุการณ์สยองขวัญจึงได้นิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป
มารับประเคนภัตตาหารและถวายสังฆทานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
ไปให้กับดวงวิญญาณทุกดวงในพระราชวังจันทรเกษม
เพื่อเป็นการขอขมาลาโทษที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับสถานที่
เรื่องการพบเห็นดวงวิญญาณที่วังโบราณนี้ยังมีเล่ากันต่อมาเรื่อยๆ
ในรูปแบบต่างๆ
โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่ไปรับน้องที่นั่นก็มักจะเจอกันทุกปีค่ะ

/////////////////////////////////////////////////.
ว่าไม่ได้นะคะ เรื่องราวของพระราชวังโบราณทุกที่ เจ้านายเดิม ข้าหลวง ทหารรักษาวังบางคน
ดวงวิญญาณอาจะยังคงปกปักษ์รักษาสิ่งของสำคัญบางอย่าง
ตามพัธะสัญญาที่เคยใหเแก่กันไว้

เพื่อนๆเวลาไปวังที่ไหน การสำรวมกิริยามารยาท น้องเงือกเหม็ดคิดว่าสำคัญมากเลยล่ะค่ะ
เป็นการให้เกียรติตัวเอง และให้เกียรติสถานที่ด้วยในตัวนะคะ
ภูตผีวิญญาณเห็น ท่านก็คงไม่มาเขม่นเราเอาน่ะค่ะ ^^

ความลี้ลับของวังท่าพระ



วังท่าพระตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามพระบรมหาราชวังริมถนนท่าพระลาน
หรือปัจจุบันคือม.ศิลปากร

วังนี้สร้างขึ้นพร้อมๆกับพระบรมหาราชวังตั้งแต่แรกสร้างกรุงเทพเลยค่ะ
พระองค์สำคัญที่ประทับวังนี้ คือ พระองค์เจ้าชายทับ
หรือรัชกาลที่ 3 เมื่อทรงครองราชย์
วังนี้มีเรื่องชวนขนลุกแทบทุกตารางนิ้วเลยค่ะ
ทุกปีจะมีคนเล่าถึงเหตุการณ์เรื่องลี้ลับในวังนี้

ส่วนแรกคือหัวใจของวังเลยค่ะ คือท้องพระโรง
สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 1 เมือ่สมัยร.2
เป็นที่ประทับของพระองค์เจ้าชายทับ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
ขณะทรงว่าราชการที่
ท้องพระโรงแห่งนี้
จะทรงพิงกับเสาต้นที่สองทางขวามือให้ห้องอยู่เสมอ จนเมื่อเวลา
ล่วงเลยมาปัจจุบัน เสาต้นนี้ก็ตกน้ำมันจนถึงทุกวันนี้
สังเกตให้ดีว่าจะเป็นเสาเพียงต้นเดียวที่ผูกผ้าสามสี
แล้วปิดทองบูชาค่ะ


อีกส่วนนึงคือตำหนักพรรณารายเป็นตึกสีเหลืองสร้างด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตก
สร้างขึ้นในสมัยรัขกาลที่ 5 เป็นส่วนต่อเนื่องกับท้องพระโรง
ตำหนักพรรณรายที่
ประทับพระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 3
และพระพี่นางเธอในรัชกาลที่ 5 เล่ากันว่า
ยามค่ำคืน จะเห็นเงาและเสียงคนคุยกัน


ส่วนที่สองคือสวนแก้วค่ะ เป็นสวนที่ติดกับท้องพระโรง
ภายในปลูกต้นแก้วต้นจันทน์
มีศาลาดนตรี มีประติมากรรม เป็นที่เล่ากันว่าหลายคนเจอมาว่า
วันดีคืนดีจะได้ยินเสียง
ประโคมดนตรีมโหรีปี่พาทย์จากในสวน
ไม่ก็เห็นตุ๊กตาเด็กที่เป็นประติมากรรม
นั้นมีชีวิตออกมาวิ่งเล่นแล้วหายเข้าไปในมุมมืด ต่อหน้าต่อตา
บ้างก็เห็นเงาดำกระโดด
ลงมาจากต้นจันทน์ค่ะ
เรื่องในสวนแก้วเพื่อนดิฉันเจอกันมาเยอะแล้วค่ะ


ส่วนที่สามคือต้นกร่างค่ะ
จัดได้ว่าเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพเลยคะ มีขนาด
8 คนโอบ
เล่ากันว่าน่าจะมีอายุตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์เลยค่ะ
มีเรื่องเล่ากันว่า
ดึกๆเมื่อมองไปบนต้นไม้ จะเห็นคนใส่ชุดไทยโบราณ
นั่งบนกิ่งไม้จ้องมองสบตาลงมาค่ะ
หลายคนเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตย์ของเทพารักษ์
เลยต้งมีการตั้งเครื่องสังเวยทุกปี
>